เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ก.ย. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ใจของคนมันไวมาก ในการประพฤติปฏิบัติมันต้องพยายามเอาใจของเราให้อยู่ เวลาอาจารย์ท่านพูดถามพระเณรว่า “วันนี้หมดกล้วยไปกี่หวี?” หมดกล้วย กล้วยนี่ล่อลิง ลิงคือใจ ใจมันวอกแวกมาก ต้องการให้ลิงมันสงบตัวลง ให้เอากล้วยนี่ล่อมันให้มันอยู่ แล้วมันใช้หมดกล้วยไปวันละกี่หวี มันก็ไม่ได้ลิงไว้

อันนี้ก็เหมือนกัน เราทำความเพียรของเรา เดินจงกรมภาวนาเราทำไป เราทำไปเหมือนกับเราจะไม่ได้ผล ต้องได้ผลนะ ในพระไตรปิฎกบอกว่าเวลาให้กำลังใจไง กระรอกเวลาลมมันพัดแรงมาก มันก็พัดเอารังของกระรอกตกไปในทะเล แล้วกระรอกนี่รักลูกมาก กระรอกรักลูกมากก็เอาหางไปแช่น้ำทะเลแล้วขึ้นมาสะบัด แช่แล้วสะบัด ทำอยู่อย่างนั้น จนเทวดามาถามว่า “กระรอกนี้ทำอะไร?” เขาจะวิดน้ำทะเลนั้นให้แห้ง เพื่อจะเอาลูกเขาขึ้นมา เพราะลูกเขาตกไปในทะเลนั้น เขามีความเพียรขนาดนั้น จนเทวดาเห็นว่าความเพียรของเขานี่แก่กล้า เทวดาช่วยเหลือเอาลูกเขาขึ้นมาได้เลย

นี่ก็เหมือนกัน ดูอย่างที่ว่ามหาชนก เห็นไหม ว่ายน้ำทะเล ๗ วัน มหาชนกยังทำได้ขนาดนั้น ในมหาชนกพยายามเอาตัวรอดไปแล้วเทวดาจะมาช่วย

นี่ก็เหมือนกัน ของเราต้องพยายามช่วยตัวเอง พยายามทำของเรา มันจะไม่ได้ให้มันไม่ได้ ถ้ามันไม่ได้นะมันต้องได้ ในพระอภิธรรมบอกไว้ ว่าเรานี่ถ้าทำความเพียร...พระอรหันต์นี่ต้องสร้างสมบุญญาธิการมา ๑ แสนกัป แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๑ แสนกัป ถ้าเป็นพระอรหันต์นี่ ๑ อสงไขย แสนกัป แล้วเราสร้างกันมายังไม่ถึง แต่มันลืมความเป็นไปได้ว่าของเรา เราเกิดตายเกิดตายนี่มันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันเกินนั้นอีก

แต่เกินนั้นมันจะสร้างสมได้ขนาดไหน เราสร้างสมใจของเรามาขนาดไหนนี่เราต้องทำกันได้ ความเพียรนี่ใส่เข้าไป ความเพียรมันทำเข้าไปนะมันทำได้ มันต้องทำได้ มันจะทำไม่ได้มันความอ่อนแอของเราเอง ถ้าเราอ่อนแอของเราเราจะไปไม่รอด ถ้าอ่อนแอจากข้างนอก เป็นฆราวาสเราก็อ่อนแอ ประกอบอาชีพมันก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ถ้าเราเข้มแข็ง เราฉลาดมีปัญญา เราประกอบความเพียรทางโลก เราก็ประสบความสำเร็จ เรามาเป็นผู้ปฏิบัติเราก็จะประสบความสำเร็จ มาบวชเป็นพระมันก็จะประสบความสำเร็จ ถ้าเราเข้มแข็งเราจริงจังของเรา มันเป็นไปได้ สิ่งนี้เป็นไปได้ กำลังใจจะเกิดขึ้นมาจากความประสบหนึ่ง อยู่กับครูบาอาจารย์หนึ่ง มันได้ความชุ่มชื่นจากครูบาอาจารย์มันชักนำไป มันจะดูดดื่มเราไป ถ้าอยู่กับครูบาอาจารย์ ถ้าเราห่างอยู่คนเดียว เราทำอยู่คนเดียวมันจะไม่ได้ประโยชน์ไม่ได้ผล

แต่ถ้าเวลามันเป็นประโยชน์ขึ้นมาแล้ว มันจะอยู่กับคนไม่ได้ มันจะต้องการเวลา เวลาของเราเพื่อจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะหาเวล่ำเวลาของเราประพฤติปฏิบัติ มันจะหาเวลาของเรา มันจะออกวิเวก ไปเหมือนนอแรด พระพุทธเจ้าบอกเลยเวลาออกวิเวก เห็นไหม ไปเหมือนนอแรด แรดมีนอเดียว เขาสัตว์ทุกอย่างมีสองเขา แต่แรดมีนอเดียว ไปแบบนอแรด ไปแบบหนึ่งเดียว มันออกไปหนึ่งเดียว มันจะประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ มันจะแก้ไขเหตุการณ์ของตัวเอง

ประสบการณ์สิ่งต่าง ๆ ประสบการณ์ของใจ มันจะมีความทุกข์ความยากขนาดไหนมันจะปลดเปลื้องเข้ามา แล้วมันจะไม่มีความทุกข์ความยากอย่างเดียว มันจะเกิดปัญญา เกิดความกระทบกระทั่งเกิดปัญญาโลก โลกเป็นแบบนี้ โลกคือหมู่สัตว์ สัตว์สังคมต้องเป็นแบบนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ “มนุษย์นี้ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นผู้ฉลาด แต่สร้างกติกาสังคมไว้” จนกว่าสัตว์มันมีอิสรภาพมากกว่าเรา เพราะเราติดในกติกาของสังคม

ถ้าเราไม่ติด เราไม่ได้สร้างความผิดพลาดไปเลย อยู่ในศีลในสัตย์ สิ่งนั้นก็ไม่ติดกับเรา แต่สิ่งที่ติดเพราะว่าเป็นความติดข้องของใจ ใจมันติดข้องเข้าไปมันมีกติกา เราอยู่ในสังคมโลก เวลาเราประพฤติปฏิบัติอะไรกัน เราจะทำงานต่าง ๆ ก็แล้วแต่ มันจะมีกฎข้อบังคับตลอด ๆ ข้อบังคับนั้นบังคับให้เป็นคนดี ถ้าเรารักษา พระปฏิบัติขึ้นมาแล้วนี่อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือว่าปฏิบัติขึ้นมาแล้วนี่ มีแต่เรื่องความผิดพลาดไม่อยากปฏิบัติเลย

พระพุทธเจ้าบอกว่า “เธอรักษาข้อเดียวได้ไหม? ศีลข้อเดียว”

“ได้ รักษาอะไร?”

“รักษาใจของตัว”

ถ้ารักษาใจของตัวแล้วนี่ พอใจเจตนามันไม่ผิด มันไม่มีสิ่งใดผิดพลาดไปเลย สิ่งที่ผิดพลาดมันจะไม่เกิดขึ้นมา เพราะเราไม่มีสิ่งใดผิด ถ้าเราไม่มีสิ่งใดผิด เราปกครองใจเราอยู่ มันก็มีความอิ่มใจขึ้นมา นั่นน่ะเอาใจของเราไว้อยู่ ถ้าเราเอาใจของเราไว้อยู่ สมาธิมันจะมากขนาดไหน? มันไม่มากหรอก สมาธิมันเป็นสมาธิ ถ้าสมาธิมันมากมันจะมีความสงบของใจ มันจะมีความสุข เรามีความสุขขนาดไหน

ถ้าเรามีความสุขในหัวใจขึ้นมา เรายกขึ้น เราพยายามออกไป เวลามันออกมา สำคัญตรงนี้ สำคัญตรงที่ว่าเวลามันสงบแล้วมันเสวยอารมณ์ เราเสวยอารมณ์นี่สังเกต เราต้องสังเกตตรงนั้น ให้มันสงบเข้าไป ๆ มันจะตัด ใช้ปัญญาก็ได้ ใคร่ครวญไป รูป รส กลิ่น เสียง นี่บ่วงของมาร เรื่องของโลกนี้เป็นเรื่องของมารทั้งหมด เป็นบ่วงทั้งหมด บ่วงที่เราติดข้องกันไปนี่ เราสืบต่อไป

ทำไมเราหักห้ามสิ่งนี้ไม่ได้? เรารักสิ่งใดเราชอบสิ่งใด สิ่งนั้นมันประสบกับเรา ทำไมเราต้องติดสิ่งนั้นตลอดไป? เราพยายามใคร่ครวญ สิ่งนั้นมันเป็นอะไร? มันเกิดดับมาตลอดไป เราจะละสิ่งนั้นได้เราต้องบังคับตัวเราเอง ถ้าเริ่มบังคับตัวเองมันจะเริ่มเห็นความว่าเราติดข้องไหม สิ่งนั้นมันก็เป็นสิ่งนั้นธรรมชาติของมัน มันมีน่ะ

อย่างเช่นสุรา คนดื่มสุราจะดื่มสุราทุกวัน ๆ มันจะชนะโรงงานสุราไปได้อย่างไร โรงงานสุรานี้ใหญ่โตมหาศาลมาก เราจะดื่มสุราชนะมันไม่ได้หรอก ถ้าเราจะทำได้เราต้องงดเว้นมันต่างหาก เรางดเว้นสุรา สุราก็เป็นสุรา สุราไม่มาติดเรา เราไปติดสุราต่างหาก

นี่ก็เหมือนกัน ตัณหาความทะยานอยาก ความพอใจของเรา เราไปติดรูป รส กลิ่น เสียง ต่างหาก ถ้าเรามีปัญญาไล่ต้อนเข้ามามันจะเกิดกัลยาณปุถุชนควบคุมตัวเองได้ พอควบคุมตัวเองได้มันจะทำให้สมาธิ ที่ว่าสมาธิมันจะมากเกินไป มันจะล้นเกินไป สมาธิมันต้องใช้ปัญญาใคร่ครวญด้วย ปัญญาที่ใคร่ครวญออกไปมันจะใคร่ครวญสิ่งต่าง ๆ ออกไป สิ่งนี้ รูป รส กลิ่น เสียง ใคร่ครวญสิ่งนี้ขึ้นมาให้มันปล่อยวางเข้ามา ๆ มันปล่อยวางมันฝึกฝนใจขึ้นไป

ถ้าฝึกฝนใจขึ้นไปมันจะเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ปัญญามันจะก้าวเดิน จะก้าวเดินอย่างนั้นถ้าเราจะฝึกปัญญา ในขั้นของปัญญานี้มันกว้างขวางมาก มันพลิกแพลงได้ตลอดในขั้นของปัญญา ถ้าปัญญาจะพลิกแพลงออกไป ปัญญาที่ว่าพลิกแพลงออกไป ปัญญาทางโลก ปัญญาทางธรรม

ปัญญามันจะละเอียดอ่อนเข้าไป จนว่าสิ่งที่เรานึกไม่ออก สิ่งที่ว่าใกล้ตัวนี่แหละ ใกล้เกลือกินด่าง ของใกล้ตัวเรานี่ เราจะเห็นว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นประโยชน์ มันจะเป็นสิ่งที่ใคร่ครวญ เป็นสิ่งที่เราจะกระทบกระเทือนใจ มันกระทบกระเทือนใจแล้วมันจะสลดสังเวช ถ้ามันสลดสังเวชมันจะ อ๋อ! ขึ้นมา ๆ มันจะปล่อยขึ้นมา ใจมันจะอิสระขึ้นมา ๆ อิสระกับสิ่งรอบข้าง ชีวิตความเป็นอยู่เรานี่แหละ ชีวิตความเป็นอยู่เราที่เรามันติดอยู่นี่เพราะมันติดความเป็นอยู่ของเรา

มันปล่อยสิ่งต่าง ๆ มาหมดแล้ว เรามาประพฤติปฏิบัติ เราปล่อยสิ่งต่าง ๆ ไว้กับโลกเขา แล้วเรามาอยู่ในวัดในวา เรามาประพฤติปฏิบัติของเรามาคุมใจของเรา ถ้าเราคุมใจของเรามันก็ติดแต่ความเห็นของเรา ความเห็นของเรามันติดของเราแล้วมันก็เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ไป ติดข้องกับความเห็นของเรา วัตรปฏิบัตินี้มันเป็นวัตรปฏิบัตินะ ปฏิปทาเครื่องดำเนินมันต้องมี ถ้าใจมันอยู่เฉย ๆ ใจอยู่เฉย ๆ เลยใจมันจะทำอะไรไม่ได้ มันนอนใจ

สิ่งที่นอนใจก็นอนจม มันนอนอยู่ในกิเลส มันไม่พอใจ จะทำสิ่งต่าง ๆ ฉันก็จะทำข้อวัตรฉันก็จะประพฤติปฏิบัติ ฉันจะภาวนาของฉัน เวลาภาวนามันมี มันไม่อยากทำ มันก็ปล่อยเวลาผ่านไป เวลาเราจะทำข้อวัตรปฏิบัตินี่ ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องดำเนิน สัตว์ยังมีรังที่อยู่ คนต้องมีที่อาศัย สิ่งที่อาศัยนี่มันเป็นการดัดนิสัยของตน เป็นการดัดนิสัยว่านี่ข้อวัตรปฏิบัติ ในความละเอียดรอบคอบของตัวเอง ในที่อยู่ที่อาศัย ในความเป็นอยู่

แล้วเขาดูตรงนี้ ดูจริตนิสัย ดูความว่ามันสะอาดรอบคอบไหม? ความเป็นอยู่ของเรานี่มันสะอาดมันเรียบร้อยไหม? หรือมันจะปล่อยรกรุงรังออกไป มันทำเป็นไม่ได้ นี่ฝึกนี่ปฏิปทาเครื่องดำเนิน ถ้ามีปฏิปทาเครื่องดำเนินมันจะเข้ามาถึงหาใจได้ ถ้าไม่มีปฏิปทาเครื่องดำเนินมันก็จะนอนจมกันอยู่อย่างนั้น

เข้าได้อย่างไร? มันละเอียดอ่อนมากการชำระกิเลส การจะชนะกิเลสนี่มันลึกซึ้งมาก เราว่าทำงานขนาดไหนมันจะชนะกิเลสได้ กิเลสมันก็ติดกับสิ่งพวกนี้สิ่งที่ติดตัวเรานี่ เพราะกิเลสมันก็ออกจากจริตนิสัยของเรา ออกจากความติดของเรา เราติดสิ่งใดเราก็พอใจสิ่งนั้น แล้วมันก็ติดสิ่งนั้น แล้วก็ยึดสิ่งนั้น มันติดหมด เราว่าเราเคยผ่านโลกมาขนาดไหน เราจะมีสมบัติมากขนาดไหนเราสละมาแล้วนะ

เรามาบวชมันก็มาติดกับปัจจัยบริขาร ๘ นี่ บริขาร ๘ ก็มาอาศัยบริขาร ๘ พระบางองค์ได้ของดี ๆ มานี่ทำลายไป ๆ เพื่อจะใช้ของที่ว่ามันบุบสลาย ของที่มันไม่สวยไม่งาม เพราะมันติดรักสวยรักงามมันติดหมด สิ่งใด ๆ ก็ติด สละขนาดไหน สิ่งเล็กน้อยขนาดไหน จนว่าไม่ฉันข้าว ฉันวันละคำสองคำมันก็ติด เพราะใจมันติด ถ้าใจมันติดแล้วมันติดทุกอย่าง

แต่ถ้ามันปลดเปลื้องออกที่ใจแล้ว ทุกอย่างไม่ติดมันจะไม่ติดหมดเลย นี่มันต้องค่อย ๆ พยายามสังเกตความเป็นอยู่ของเรา ความเป็นอยู่ของเรานี่สังเกตมัน มันพอใจไหม? ถ้ามันพอใจมันเป็นประโยชน์เราก็พอใจ ถ้ามันไม่พอใจไม่เป็นประโยชน์เราต้องฝืนมัน เราฝืนความคิดของเรานี่ฝืนกิเลส เราว่าเราจะชนะกิเลส เราหากิเลสไม่เจอ ๆ กิเลสมันก็คือความเคยใจ ใจมันเคยกับสิ่งนั้นแล้วมันพอใจกับสิ่งนั้น เราฝืนสิ่งนั้นเราประพฤติปฏิบัติสิ่งนั้น

แล้วใครคนอื่นเรื่องของคนอื่นเรื่องข้างนอกนี้เป็นเรื่องหมู่คณะ เราฟังกัน เพราะเป็นหมู่คณะ เป็นสัปปายะ เป็นเครื่องดำเนิน ไม่กระทบกระเทือนกัน ความกระทบกระเทือนกัน เห็นไหม คนเราสร้างอารมณ์มาทั้งวันเลย มีความสงบ พอออกมามันโดนหมู่คณะกระทบหน่อยเดียวมันฟุ้งออกไป มันไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น เราไม่กระทบกระทั่งกับใครทั้งสิ้น เราพยายามดูใจของเรา นี่เรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของคนอื่น เรื่องของเราคือเรื่องแก้ไขใจของเรา

เรื่องของเราคือว่าใจที่มันไม่ยอมอยู่ในอำนาจของเรา หน้าที่ของเราคือดูใจของเรา ดูใจของเราด้วยความเพียรของเรา ความมานะอุตสาหะของเรา มันย้อนกลับเข้ามาดูใจของตนเอง ดัดแปลงตนในมรรคปฏิบัติในปฏิปทาเครื่องดำเนินนี้ มันเกาะเกี่ยวไหม? มันพอใจไหม? ฝืนเข้ามาทั้งหมดนี่คือการฝืนกิเลส การฝืนกิเลสมันก็เข้าหลักการ เข้าที่ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธเจ้าวางไว้ ถ้าพระพุทธเจ้าวางไว้อย่างนั้นเราทำตามนั้น เราก็ทำตาม ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วเราทำตามศีล สมาธิ ปัญญา แล้วผลมันจะไปไหนล่ะ ผลมันก็อยู่ในมือของเรา

เราประพฤติปฏิบัติ ผลอยู่ในมือของเรา เราจะจับต้องผลสิ่งนั้นได้ ถ้าผลอยู่ในมือของเรานี่ ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน มันเป็นเรื่องของนามธรรม เรื่องของใจ ธรรมะเห็นไหม รูปธรรม นามธรรม เวลารูปธรรมจับต้องดูสิ่งที่เป็นรูปธรรมนี่เราชี้ให้เห็นกันได้ แต่นามธรรมชี้ให้เห็นกันไม่ได้ แต่ชี้สื่อความหมายกันได้ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะมันเกิดกับใจ มันดับกับใจ แต่ต้องสื่อได้ สื่อว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นมาเพราะอะไร? แล้วมันจะขาดไปเพราะอะไร? มันจะมีเหตุให้ต้องสื่อ แล้วมีเหตุให้ต้องดับ ดับออกไปจากใจ

ถ้าดับออกไปจากใจแล้วเราประพฤติปฏิบัติ เราทำของเราได้ สิ่งนี้มันเป็นเป้าหมายของเรา สิ่งนี้มันอยู่ในใจ พูดถึงสิ่งนี้ ๆ เพราะถ้าเราไม่พูดอย่างนี้เราจับอะไรไม่ได้เลย เราสะเปะสะปะไปหมด เริ่มต้นทุกคนสะเปะสะปะไปหมด เหมือนกับเขาหาน้ำมัน น้ำมันนี่มีคุณค่ามาก เวลาเขาหาน้ำมัน ต้องใช้เครื่องบินต้องใช้ดาวเทียมทุกอย่างหาหมดเลย แต่พอเจอน้ำมันเขาเจาะน้ำมันนี่จะได้ประโยชน์มหาศาลเลย อันนี้เราหาหัวใจของเรา เราหาแก่นสารของใจ หามรรคอริยสัจจังเกิดขึ้นมาจากใจ หาไม่เจอ แต่รู้ว่ามันมีอยู่ มันอยู่ในหัวใจนี่เรารู้มันมีอยู่ น้ำมันอยู่ในโลกนี้มีอยู่ แต่หาที่ไหนก็หาไม่เจอ ถ้าเจอก็เจาะตรงนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เราทำของเรา เราพยายามแสวงหานี่มันสะเปะสะปะไปทั่ว ว่าสิ่งนี้ ๆ ย้อนกลับมาพยายามย้อนกลับมา เวลาเราภาวนาขึ้นไป มันเกิดอะไรขึ้นมาก็แล้วแต่ เรากำหนดพุทโธไว้นี่ จับหลักไว้นี่จะไม่เสียหาย จับหลักของใจไว้ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากสิ่งที่รับรู้นี้ สิ่งที่รู้นี้ออกไปรับรู้สิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดเลย ถ้ามันเจอเพราะสิ่งที่รับรู้นี้ออกไปรับรู้ แล้วพอรับรู้แล้วเราก็ไปตื่นเต้นกับการรับรู้นั้น การรับรู้นั้นเป็นอะไรเกิดขึ้นมานี่พอใจกับสิ่งการรับรู้นั้น

แล้วก็ไปสืบต่อออกไป ๆ จนตกใจ จนถึงกับว่าทำให้เสียจริตได้ แต่ถ้าเราจับพุทโธไว้ จับหลักของใจได้ จับสิ่งนั้นคือผู้รู้ไว้ได้นี่จะไม่มีความเสียหายเลย ย้อนกลับมาตรงนี้ ย้อนกลับมาสิ่งที่รับรู้นี้ ๆ ย้อนกลับมาถึงที่จิตนี้ ย้อนกลับมา เหมือนกับเราออกจากบ้านของเราไป เราจะเจอสิ่งต่าง ๆ เห็นข้างนอกนี่ มันจะเป็นเรื่องว่าเป็นอันตรายต่อเรา แต่ถ้าเราเข้าบ้านของเราเราจะปลอดภัย

นี่ก็เหมือนกัน เราเข้าผู้รู้ เข้าถึงจิตของเรา จะปลอดภัยตลอด จะปลอดภัยกับสิ่งต่าง ๆ สิ่งที่ว่าจะเกิดเป็นโทษ...ไม่เป็นโทษเลย เราจะย้อนกลับมาตรงนี้ สิ่งนี้มันอยู่ที่หัวใจ เราถึงต้องไปทำความเพียรกัน พยายามสร้างนะความเพียรทำเข้าไป มันเป็นการลองผิดลองถูก ทุกอย่างเป็นครูเราหมดเลย ถ้าเราทำถูกต้องขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเราไม่ทำถูกต้องขึ้นมา นั้นก็เป็นการฝึกฝน

การฝึกฝนปฏิบัตินี่มันทำได้ มันพยายามฝึกฝนขึ้นมาแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับคนคนนั้น คนคนทำนั้น คนถ้าไม่เคยทำเลย คนไม่เคยไปวัดไปวาเลย ไม่อยากไปวัดไปวา มันเก้อ ๆ เขิน ๆ เข้าไม่ถูก เห็นไหม คนถ้าเคยไปวัดไปวามันจะเข้าถูกเหมือนกัน

อันนี้ก็เหมือนกัน เราไม่เคยปฏิบัติของเราเลย เราจะรู้เรื่องใจของเราได้อย่างไร? จะไม่เคยรู้ใจเลย แล้วสื่อความหมายไม่ได้ แล้วเห็นว่าคนที่ไปวัดนี่คนที่มีปัญหา แต่ไม่รู้ว่าคนที่ไปวัดนี่เป็นคนที่ประเสริฐ คนที่ประเสริฐเพราะอะไร? เพราะคนนั้นรักตัวเอง รักหัวใจของตัวเอง รักร่างกาย ร่างกาย เรื่องความหาอยู่หากินเราก็หาไป เรารักเรื่องหัวใจของเรา เราหาคุณสมบัติให้หัวใจของเรา

เราได้ฟังธรรม ธรรมคือเครื่องกำจัด คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องของการดัดแปลงหัวใจของเรา หัวใจเราจะประเสริฐขึ้นมา คน ๆ นั้นเป็นคนเสียหายไปไหน คนที่เขาอยู่ทางโลกของเขาต่างหาก เขาไม่เข้ามา คนนั้นถึงเป็นคนที่ว่าเขานอนใจกับสมบัติที่เขาได้รับ คนที่มีสมบัติขึ้นมา เกิดมามีคุณสมบัติขนาดไหน มีสมบัติมากขนาดไหน เขาอยู่อย่างนั้น มันจะไม่ได้ใช้ตรงนั้นหรอก มันต้องพลัดพรากจากไปวันใดวันหนึ่งเด็ดขาด

แต่สมบัติในหัวใจของเขา เห็นไหม ทิพย์สมบัติ สิ่งที่สละออกไปแล้วนี่เป็นของเราหมดเลย เราคิดถึงเมื่อแต่ปีที่แล้ว เมื่อแต่อดีตที่เราเคยสะสมมา เราเคยสละทานอะไรไป มันจะเป็นของสด ๆ ร้อน ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีการเสียหายเลย ทิพย์สมบัติมันเข้าอยู่ที่ใจ ฝึกจนมันเคยตัว พอมันเคยตัวขึ้นมา มันเป็นธรรมชาติของมัน

มันเป็นธรรมชาติของมัน มันจะไปกลัวสิ่งใด เพราะมันกับใจนี้เป็นเนื้อเดียวกัน เนื้อเดียวกันมันไปมันก็ไปพร้อมกัน นั้นน่ะคนที่เอาตัวรอด เอาตัวรอดจากความทุกข์ความยากพอมีการดำรงชีวิตไปได้ แล้วก็เอาตัวรอดในการประพฤติปฏิบัติยากขึ้นไปอีก แต่ผลมันให้สูงค่าขึ้นอีก

ผลมันจะให้มากกว่านั้น สิ่งที่มากกว่านั้นน่ะเราเป็นคนได้เอง เราเป็นคนประสบเอง เราพยายามทำขึ้นมาทุกข์ยากให้ทำนะ ทุกข์ยากขนาดไหนทุกข์ยากเพื่อเรา เราทำงานอย่างอื่นทำไมเราทำได้ งานอย่างนี้ทำไมทำไม่ได้ โลกเขามีแต่ว่ากันไป คาดหมายกันไป แล้วเขาทำของเขาไม่ประสบความสำเร็จของเขา แต่เราทำประสบความสำเร็จของเรา นี่เป็นผลของเรา เอวัง